วันหยุดไปไหว้พระ 9 วัด คอลัมน์ โลกสองวัย โดย บางกอกเกี้ยน สัปดาห์แรก วันที่ 2 ของเดือนมกราคม หลังจากที่ต่างคนต่างสนุกสนานกับการเฉลิมฉลองปีใหม่กันเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการไปร่วม "เคานท์ ดาวน์" (นับถอยหลัง) ร่วมกันกับใครก็ไม่รู้ หรือกับคนที่เกี่ยวก้อยกันขณะนั้น กระทั่งเสียงบอกเวลา 24 นาฬิกา วันที่ 31 ธันวาคม ทุกคนที่ร่วมกันนับถอยหลังต่างพากันไชโยโห่ร้อง ร่วมกันร้องเพลงพรปีใหม่ รับพระบรมราโชวาทและพระพรจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ และจากผู้นำทุกศาสนาในประเทศไทย แล้วต่างคนต่างไปไหนต่อไหนต่อ หรือกลับบ้าน เตรียมตัวตักบาตรเป็นสิริมงคลกับตัวเองและครอบครัวเมื่อเช้าวานนี้ วันนี้ หลายคนมีกำหนดการออกจากบ้านเพื่อไปไหว้พระตามวัดหลายต่อหลายแห่งที่หัวหน้าครอบครัวและตัวเองเคารพนับถือ ในกรุงเทพมหานคร ทุกวันนี้เกิดธรรมเนียมใหม่ "ไหว้พระ 9 วัด" หนังสือ "ศาสตร์แห่งโหร" ของสำนักพิมพ์มติชนเขียนบอกกล่าวไว้ว่า พระ 9 วัดหมายถึง 7 วัด 2 ศาลในกรุงเทพฯ เริ่มที่วัดสุทัศน์ฯแล้วเวียนไปศาลเจ้าพ่อเสือ วัดโพธิ์ วัดพระแก้ว ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง วัดชนะสงคราม วัดอินทรวิหาร วัดเล่งเน่ยยี่ และวัดอรุณราชวราราม หรือจะไปวัดกัลยาฯ และบางวัดในย่านฝั่งธนฯ ก็แล้วแต่ว่าท่านจะมีศรัทธาปสาทะอย่างไร ปัจจุบัน ไหว้พระ 9 วัด มีแตกแขนงออกไปยังหลายจังหวัด อาทิ เชียงใหม่ พระนครศรีอยุธยา ที่อยุธยา ข้าพเจ้า (ผู้เขียน) และครอบครัว นิยมใช้วันหยุดหลังปีใหม่ ส่วนใหญ่จะเป็นวันนี้ 2 มกราคม เดินทางไปไหว้พระที่อยุธยา 3 วัดหลัก วัดแรกคือวัดพนัญเชิง หลวงพ่อโต วัดต่อมาที่ตั้งอยู่ใกล้กัน คือวัดใหญ่ชัยมงคล ที่มีพระเจดีย์สมเด็จพระนเรศวรทรงสร้างไว้ วัดสุดท้ายคือวัดหลวงพ่อมงคลบพิตร ทั้งสามวัดนี้ไม่เพียงแต่ชาวอยุธยาเมืองเก่าของเราแต่ก่อนเท่านั้นที่มีกิจกรรมไปไหว้อยู่เสมอ แต่เป็นวัดที่ประชาชนคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธต่างหาเวลาไปกราบไหว้เสมอ โดยเฉพาะหลวงพ่อมงคลบพิตร หากมีเวลาเหลือบ้าง อาจจะเลยไปไหว้วัดอื่น เช่น วัดไชยวัฒนาราม หรือจะเลยไปไหว้พระนอนจักรสีห์ ที่สิงห์บุรี แล้วเลยไปหากุ้งก้ามกรามกินที่ริมแม่น้ำน้อย วัดตราชู วันหยุดชดเชยหลังปีใหม่ การเดินทางไปจังหวัดใกล้เคียงกับกรุงเทพฯ เช่น อยุธยาเพื่อไปไหว้พระในจังหวัดที่เคยเป็นราชธานีไทยมายาวนานถึง 417ปี ก่อนจะล่มสลายลง อย่างน้อยก็เพื่อรำลึกถึงอดีตที่บุรพกษัตริย์ไทยทรงก่อร่างสร้างราชธานี และรักษาสมบัติของชาติมายาวนานเป็นประวัติศาสตร์ให้รำลึกถึงกันตราบเท่าทุกวันนี้ แม้ว่า การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งหลังสุด ฝ่ายตรงข้ามจะเข้ามาเผาผลาญ และขนทรัพย์สมบัติไปจำนวนไม่น้อย กระนั้นก็ยังมีวัดหลายแห่งที่เหลือร่องรอยมาถึงทุกวันนี้ โบราณสถาน โบราณวัตถุ ไม่ว่าจะเป็นสุโขทัย ล้านนา อยุธยา ธนบุรี แม้แต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ หลายแห่งหลายตำรา เราคนไทยยังไม่ได้ชำระประวัติศาสตร์ให้ถ่องแท้ว่าแท้ที่จริงนั้นคืออะไรและอย่างไร เรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น ย่อมไม่สามารถลบล้างได้ ขณะที่ไม่ใช่เรื่องจะเก็บมาเป็นความอาฆาตแค้นที่ต้องชำระสะสางกัน แต่จะต้องปรับแก้ให้เป็นบทเรียนที่ถูกต้อง และเรียนรู้อย่างเคารพในความเป็นไปของอดีต ไม่มีชนชาติใดภาษาใดไม่ผ่านอดีต และไม่มีประวัติศาสตร์ บางชาติเพิ่งมีประวัติศาสตร์สืบค้นขึ้นไปได้เพียง 200 ปีเศษ ขณะที่ประเทศไทยแม้จะไม่เก่าโบราณเท่ากับยุคสมัยโน้น แต่ก็ยังสามารถสืบค้นความเป็นกลุ่มชนชาติที่เรียกกันว่า "อุษาคเนย์" มาได้ยาวนานด้วยหลักฐานโบราณคดีกว่า 3,000 ปี หรือกว่านั้น ขณะเดียวกัน เมื่อเราเรียนรู้เรื่องชนชาติที่อยู่ในอาณาบริเวณนี้ ก็ควรจะเรียนรู้เรื่องราวที่ผ่านมาเพียง 500 กว่าปี นับแต่ยุคต้นกรุงศรีอยุธยา ถึงยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ผ่านประวัติศาสตร์หลายด้าน ซึ่งส่วนหนึ่งต้องเรียนรู้จากบันทึกที่มีอยู่ของประเทศที่เป็น "คู่กัด" ของเราในอดีต อย่างพินิจพิจารณา ตัวอย่างเช่น ขณะนี้สำนักพิมพ์มติชนอยู่ระหว่างจัดพิมพ์หนังสือที่เกี่ยวกับประเทศพม่าอย่างขมักเขม้นหลายเล่ม เพื่อรองรับการเรียนรู้เรื่องราวของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งผู้เขียนรวบรวมเรียบเรียงมาจากเอกสารอ้างอิงหลายฉบับ การเรียนรู้เรื่องตัวเองและเพื่อนบ้าน ต้องศึกษาเอกสารหลักฐานทางประวัติศาสตร์ อย่าเรียนรู้เพียงบอกต่อและเชื่อกันมาอย่างนั้น เขียนถึงประวัติศาสตร์ไทยก็ต้องบอกกันอย่างนี้แหละขอรับพระเดชพระคุณ ----------------------- Ref. http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01pra04020150&day=2007/01/02