บทความให้กำลังใจ(อานุภาพแห่งความรัก)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    51,886
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,072
    Waterrichandpoor.jpg
    หน้าตาพาทุกข์
    สามสลึง
    สุพจน์ซื้อเสื้อยี่ห้อดังมาตัวหนึ่งราคานับหมื่น เช้านี้ได้ฤกษ์สวมใส่เป็นครั้งแรก แต่เกรงว่าคนจะไม่สังเกต เวลาเดินจึงอกผายไหล่ผึ่งและนวยนาดเป็นพิเศษ สักพักก็ถามลูกน้องว่า

    “มีคนกำลังมองฉันไหม ?”

    “ไม่มีใครอยู่แถวนี้เลย” ลูกน้องตอบ

    สุพจน์จึงผ่อนคลายลง เดินตามสบาย แล้วพูดว่า

    “ตอนนี้ไม่มีคนมอง พักผ่อนสักนิดดีกว่า”

    เสียเงินนับหมื่นซื้อเสื้อแล้วยังไม่พอ ต้องเสียแรงอวดมันให้คนเห็นด้วย แทนที่สุพจน์จะเป็น “นาย” ของเสื้อ เสื้อกลับมาเป็น “นาย”ของเขาแทน นี่ถ้าเสื้อเกิดมีรอยขีดข่วนหรือเกี่ยวตะปูจนขาด เขาคงเสียใจจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ

    แต่จะว่าไปแล้วตัวการที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ก็คือ “หน้าตา” สมัยนี้ถ้าอยากให้คนชมว่าเท่ ทันสมัย สะสวย หล่อเหลา มีเทสต์ ก็ต้องไปหาซื้ออะไรต่ออะไรมาใส่ตัว ไม่ว่าเสื้อ กางเกง รองเท้า กระเป๋า นาฬิกา ล้วนแล้วแต่ราคาแพง ๆ ทั้งนั้น ซื้อมาแล้วไม่พอ ต้องหาทางอวดให้คนเห็นชัด ๆ ด้วย

    ในทำนองเดียวกันเวลาจะกินหรือดื่มอะไร ก็ต้องเลือกแบรนด์ดัง ๆ หรือร้านเด่น ๆ เช่น อยู่ติดถนนใหญ่ คนข้างนอกมองเข้ามาเห็นทุกคำที่ดื่มกิน เวลาดื่มกินจึงต้องวางมาด ยิ่งถ้าเป็นกาแฟ ก็ต้องทำท่าครุ่นคิดนิดหน่อยราวกับกำลังคิดโปรเจ็คต์ร้อยล้าน หรือไม่ก็ทำทีว่ามีความสุขเต็มที่กับชีวิตอย่างที่เห็นในโฆษณา

    ปัญหาก็คือใคร ๆ เขาก็ทำอย่างนี้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นถ้าจะให้เด่นกว่าใคร ก็ต้องมีอย่างที่คนอื่นไม่มี หรือทำก่อนที่คนอื่นจะทำ เพราะฉะนั้นก็ต้องขวนขวายไล่ล่าหาของแพงยี่ห้อดังที่ไม่ซ้ำรุ่นกับใคร และทำตัวให้ “เดิ้น” ล้ำหน้าคนอื่นอยู่เสมอ ชีวิตที่มีหน้าตาเป็นแรงขับจึงวิ่งไม่หยุด เป็นชีวิตที่ไม่น่าจะมีความสุข

    สำหรับคนที่มีเงิน หน้าตาหมายถึงการใช้ของแพง ๆ ส่วนคนที่มีอำนาจหรือมีชื่อเสียง หน้าตาหมายถึงการเป็นที่รู้จักและเคารพนบนอบ คนประเภทหลังนี้เวลาไปไหน จะคอยชำเลืองว่ามีใครรู้จัก
    ถ้าเป็นดาราแต่ไม่มีใครมาทักทายหรือขอลายเซ็นก็จะรู้สึกเป็นทุกข์ ถ้าเป็นรัฐมนตรีหรือนายพล เข้าไปในร้านอาหารแต่พนักงานเสิร์ฟไม่รู้จัก ก็อาจคำรามในใจว่า “รู้ไหมว่าข้าเป็นใคร ?” คนที่รู้สึกแบบนี้ กินอาหารจะอร่อยได้อย่างไร อยู่ที่ไหนก็ไม่เป็นสุข เพราะแบกเอาตำแหน่งหรือชื่อเสียงไปตลอดเวลา

    หน้าตานั้นแม้จับต้องไม่ได้ แต่ไปอยู่กับใคร ก็ทำให้ชีวิตหนักอึ้งและไม่เป็นสุข เพราะต้องคอยปรนเปรอมันอยู่ตลอดเวลา ถ้าปล่อยให้มันครองใจเมื่อใด ก็เท่ากับยอมให้มันมาชักใยทุกอิริยาบถ จะยืน จะนอน จะนั่งก็เพื่อมันสถานเดียว

    ลำพูนซื้อเตียงประดับเพชรมาราคานับล้าน แต่อยู่ในห้องไม่มีใครมองเห็น เขาจึงแกล้งป่วยเพื่อให้ญาติมิตรเข้าไปเยี่ยมถึงเตียง

    พุแคเป็นคนหนึ่งที่เข้าไปเยี่ยม เขามีถุงเท้าใหม่คู่หนึ่ง อยากให้คนอื่นได้ดู จึงนั่งไขว่ห้างดึงชายกางเกงขึ้นสูง

    ลำพูนจึงถามพุแคว่า “เป็นโรคอะไรเหรอ ?”

    “เป็นโรคเดียวกับแกไงล่ะ” พุแคตอบ
    :- https://visalo.org/article/sarakan254801.htm


     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    51,886
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,072
    อานุภาพแห่งความรัก
    รินใจ
    จอห์น วู เป็นผู้กำกับที่มีชื่อเสียงในด้านหนังบู๊ ผลงานของเขาเต็มไปด้วยฉากการสู้รบดุเดือดหรือยิงกันสนั่นเมือง โดยมีลีลาสุนทรีย์ที่เป็นแบบฉบับของตัวเอง ตัวอย่างล่าสุดคือหนังเรื่อง “สามก๊ก ตอนโจโฉแตกทัพเรือ” (Red Cliff) แต่ใครที่ได้ดูหนังสั้นเรื่อง “ซองซองกับแมวน้อย” คงนึกไม่ถึงว่านี้หรือคือผลงานของผู้กำกับชาวจีนผู้นี้ เพราะเป็นหนังที่อ่อนละมุน ลุ่มลึก บันดาลใจและสามารถเรียกน้ำตาและรอยยิ้มจากผู้ชมได้

    หนังสั้นเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังชุด “All the Invisible Children” ซึ่งถ่ายทอดปัญหาของเด็กทั่วโลก จากฝีมือของผู้กำกับชื่อดัง ๗ คน เฉพาะส่วนของจอห์นวู นั้นยาวประมาณ ๑๕ นาที แม้จะใช้เวลาไม่นานแต่ก็แน่นไปด้วยเนื้อหา สะท้อนทั้งปัญหาสังคม ความทุกข์ของเด็ก และอานุภาพแห่งความรัก


    “ซองซองกับแมวน้อย” เป็นเรื่องราวของเด็กหญิงสองคนที่มีชีวิตต่างกันราวฟ้ากับดิน ซองซองเป็นลูกคนรวยที่เพียบพร้อมทุกอย่างแต่ขาดความรัก ตรงข้ามกับแมวน้อยซึ่งเป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงโดยชายแก่ที่ยากจนแต่เปี่ยมไปด้วยความรัก เด็กหญิงทั้งคู่มาเกี่ยวพันกันได้ก็เพราะมีตุ๊กตาเป็นตัวเชื่อม ตุ๊กตาราคาแพงตัวนี้ถูกซองซองโยนทิ้งกลางถนน ชายแก่ซึ่งมีอาชีพหาของจากกองขยะมาพบเข้า จึงนำไปมอบให้แมวน้อย เด็กขาพิการที่เขาเก็บได้จากกองขยะบริเวณเดียวกันเมื่อ ๖-๗ ปีก่อน ชีวิตของแมวน้อยถึงจุดพลิกผันเมื่อ “คุณตา”ถูกรถชนตาย เธอจับพลัดจับผลูมาอยู่ภายใต้การควบคุมของชายคนหนึ่งซึ่งบังคับให้เธอและเพื่อน ๆ (ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้หญิง) ขายดอกไม้กลางกรุงปักกิ่งเพื่อแลกกับอาหาร
    ชีวิตของแมวน้อยแม้จะลำบากแต่สิ่งหนึ่งที่หล่อเลี้ยงใจให้เธอมีความสุขอยู่ได้ก็คือตุ๊กตาตัวนั้น ซึ่งแม้จะแขนหักแต่เธอก็ดูแลและทนุถนอมอย่างดี หิ้วติดตัวตลอดเวลาที่ขายดอกไม้ จนกระทั่งพบกับซองซองซึ่งอยู่บนรถคันหรู ซองซองไม่รู้เลยว่าแม่กำลังจะขับรถพาไปพบจุดจบเนื่องจากชีวิตคู่ที่ร้าวฉาน แต่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กสองคนในชั่วเวลาไม่ถึงนาทีนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของสองแม่ลูกได้ในวินาทีสุดท้าย

    หนังเรื่องนี้มีหลายมิติ ด้านหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำต่ำสูงอย่างมหาศาลระหว่างคนรวยกับคนจน ปัญหาเด็กที่ถูกทอดทิ้งจนกลายเป็นเหยื่อของคนบางประเภท ปัญหาการศึกษาที่คนจนยากจะเข้าถึงเนื่องจากต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังชี้ให้เห็นถึงผลกระทบจากนโยบายรัฐบาลที่บังคับให้มีลูกได้เพียงหนึ่งคนเท่านั้น นโยบายดังกล่าวทำให้ลูกผู้หญิงไม่เป็นที่ต้องการ หากไม่ถูกกำจัดตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ก็ถูกทิ้งเมื่อคลอดออกมา(ดังกรณีแมวน้อย) ส่วนครอบครัวไหนที่มีลูกผู้หญิง ก็มีโอกาสสูงที่จะร้าวฉานได้ เพราะสามีอยากได้ลูกผู้ชายจึงไปมีเมียน้อย ขณะที่ภรรยาถูกตำหนิที่ไม่สามารถผลิตลูกชายได้ (ดังกรณีครอบครัวซองซอง)
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    51,886
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,072
    (ต่อ)

    แต่หนังเรื่องนี้ยังมีเนื้อหาที่ลึกไปกว่านั้น นั่นคือมิติทางด้านจิตใจ จอห์น วูได้ถ่ายทอดความร่ำรวย ๒ ระดับ นั่นคือ ความร่ำรวยทางด้านวัตถุ กับความร่ำรวยทางด้านจิตใจ ครอบครัวของซองซองรวยทรัพย์แต่ไร้สุข ขณะที่ครอบครัวของแมวน้อยแม้ขัดสนไปเกือบทุกอย่างแต่มีความสุข ความสุขนั้นไม่ได้มาจากไหน แต่มาจากความรัก

    หนังได้จำลองสภาพแวดล้อม ๒ แบบ แมวน้อยนั้นแม้จะอยู่ในบ้านที่คับแคบอุดอู้แต่ก็แวดล้อมด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยความรัก นอกจาก “คุณตา”แล้วเธอยังมีเพื่อนบ้านที่เปี่ยมด้วยน้ำใจ ตรงข้ามกับซองซองที่อยู่ในคฤหาสน์กว้างใหญ่ มีทุกอย่างเพียบพร้อม แต่แวดล้อมด้วยบรรยากาศที่ขาดความรัก พ่อแม่ทะเลาะกันเป็นประจำ ลึก ๆ เธอเองก็รู้สึกว่าลูกผู้หญิงอย่างเธอมีคุณค่าน้อยกว่าลูกผู้ชายในสายตาของพ่อและแม่ เธอจึงรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างมาก เพราะทั้งบ้านมีกันแค่ ๓ คนเท่านั้น

    ความรักทำให้เกิดความสุข และความสุขก็ทำให้มีน้ำใจต่อผู้อื่น แมวน้อยแม้จะขาดแทบทุกอย่าง (รวมทั้งขาที่ไม่ปกติเหมือนคนอื่น) แต่เธอก็เป็นเด็กที่มีน้ำใจ อยู่ว่าง ๆ เธอก็นวดหลังให้ “คุณตา” เมื่อได้ตุ๊กตามา เธอก็ดูแลอย่างดี ทำความสะอาด ซักเสื้อผ้าให้ อีกทั้งยังเติมแขนที่ขาดหายไป แม้จะรักตุ๊กตามาก แต่เธอก็ไม่หวงแหน หากแบ่งปันให้เพื่อน ๆ ชื่นชม เมื่อพบและได้สนทนากับซองซอง เธอก็แสดงน้ำใจด้วยการยื่นดอกกุหลาบให้

    ในทางตรงข้าม เมื่อขาดความรัก ก็ไร้สุข และเมื่อไร้สุข ก็ยากจะมีน้ำใจได้ ซองซองจึงเป็นเด็กที่ไม่สู้มีน้ำใจ แสดงความเกรี้ยวกราดใส่ตุ๊กตาและสิ่งที่อยู่รอบตัว จะว่าไปแล้วความเกรี้ยวกราดดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องของความทุกข์ที่ต่างระบายหรือถ่ายทอดให้กันเป็นทอด ๆ พ่อระบายความทุกข์ใส่แม่ แล้วความทุกข์ของพ่อแม่ก็ถ่ายทอดให้ซองซอง ในที่สุดซองซองก็ระบายความทุกข์ใส่ตุ๊กตาน่ารักนับสิบตัว แต่แล้วความทุกข์ของเธอก็ไม่ได้ลดลงไปเลย

    แต่หนังไม่ได้มืดหม่นเสียทีเดียว จะว่าไปแล้ว สาระสำคัญที่สุดของหนังสั้นเรื่องนี้อยู่ที่ด้านตรงข้ามของความทุกข์ มิใช่ความทุกข์เท่านั้นที่ระบายถ่ายทอดกันได้ ความรักและความสุขก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน หนังเรื่องนี้ชี้ให้เห็นความรักและความสุขที่ถ่ายทอดกันเป็นลูกโซ่ จากใจถึงใจ เริ่มจาก “คุณตา”ที่ให้ความรักและความสุขแก่แมวน้อย จากนั้นแมวน้อยก็ถ่ายทอดความรักและความสุขให้ตุ๊กตา จนแม้แต่ซองซองก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตุ๊กตาที่เคยเป็นของตน นั่นเป็นครั้งแรกที่ผู้ชมเห็นรอยยิ้มของเธอ ใช่แต่เท่านั้นแมวน้อยยังถ่ายทอดความรักและความสุขให้แก่ซองซอง ดอกไม้และมิตรภาพที่แมวน้อยหยิบยื่นให้ซองซองทำให้เธอมีความสุข และความสุขของซองซองก็สามารถแผ่ไปยังแม่ซึ่งกำลังจะคิดสั้น ทำให้เธอได้สติ และเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้

    หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยรายละเอียดและสัญลักษณ์ที่ให้แง่คิดมากมาย สัญลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งก็คือตุ๊กตาตัวโปรดของแมวน้อย ตุ๊กตาตัวนี้ถูกซองซองโยนทิ้งลงถนนจนแขนแตกละเอียด แต่เมื่ออยู่ในมือของแมวน้อย เธอได้ซ่อมแซมและเติมแต่งอย่างดีจนสวยงาม จนแม้แต่ซองซองก็เอ่ยปากชม ใช่หรือไม่ว่าหนังกำลังบอกเราว่า ชีวิตหรือจิตใจที่แตกร้าวก็สามารถซ่อมให้ดีได้เช่นกัน เช่นเดียวกับชีวิตที่ปวดร้าวระทมทุกข์ของแม่ซองซองย่อมสามารถเยียวยารักษาได้

    นี้คือหนังที่ให้ความหวังแก่ผู้คนและเชิดชูอานุภาพของความรัก ในยามที่ผู้คนพากันไขว่คว้าหาเงินทองด้วยหวังว่าจะได้รับความสุข หนังสั้นเรื่องนี้ชี้ว่าความรักต่างหากที่บันดาลใจให้เกิดสุขที่แท้จริง ความสุขเช่นนี้ให้เท่าไรก็ไม่มีวันหมด ตรงกันข้ามยิ่งให้ก็ยิ่งได้ เพราะเมื่อผู้รับได้รับความสุข ผู้ให้ก็พลอยมีความสุขไปด้วย ขณะเดียวกันเมื่อมีน้ำใจให้ความสุขแก่ใคร เขาก็มักแบ่งปันความสุขให้เป็นการตอบแทน (ฉากหนึ่งในตอนท้ายของเรื่องคือ เมื่อซองซองออกปากชมตุ๊กตาของแมวน้อยว่าสวยจัง แมวน้อยก็ยิ้มพร้อมกับหยิบยื่นดอกกุหลาบให้แก่ซองซอง ทำให้ซองซองมีความสุข อารมณ์ที่บูดบึ้งก่อนหน้านั้นหายไปเป็นปลิดทิ้ง ถึงตรงนี้ก็คงจะเดาออกว่าดอกกุหลาบคือสัญลักษณ์แห่งความสุขที่หนังต้องการสื่อ)

    ความรักสามารถบันดาลใจให้เกิดสุข และขับไล่ความความทุกข์ให้มลายไปได้ เพียงแค่เรามีความรักหรือมีน้ำใจให้แก่ใครสักคน เราก็สามารถเยียวยาจิตใจของเขาได้ไม่น้อย ในทำนองเดียวกัน คนที่ระทมทุกข์ เพียงแค่ได้อยู่ใกล้คนที่มีความสุข จิตใจอ่อนโยน ก็อาจได้รับรัศมีแห่งความสุข ที่คิดสั้นก็อาจได้สติหรือฉุกคิดขึ้นมาได้

    ความรักสามารถบันดาลความรัก ความสุขสามารถบันดาลความสุข หากเราอยากให้ใครมีน้ำใจหรือมีความสุข ไม่มีวิธีอื่นใดนอกจากมีน้ำใจหรือให้ความสุขแก่เขา คำพูดอันสวยหรูนั้นไม่มีพลังบันดาลใจได้เท่ากับคุณภาพจิตหรือแบบอย่างที่สัมผัสได้ ฉันใดก็ฉันนั้น หากอยากให้ใครมีคุณงามความดีในใจ เราก็ต้องกระทำดีต่อเขา แต่จะทำเช่นนั้นได้เราก็ต้องมีความดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
    :- https://visalo.org/article/sarakadee255304.htm


     

แชร์หน้านี้

Loading...